ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ หรือ Cashless

หนึ่งในคำถามสำคัญที่สุดของผู้ที่กำลังวางแผน เปิดร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ คือ “จะใช้ระบบรับเงินแบบไหน?” ระหว่างการหยอดเหรียญแบบดั้งเดิม หรือการจ่ายเงินแบบไร้เหรียญ (Cashless) ผ่านแอปหรือคิวอาร์โค้ด ทั้งสองทางเลือกต่างมีข้อดีและข้อจำกัดในตัวเอง แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่ไม่พกเงินสด และใช้มือถือเป็นกระเป๋าเงินหลัก—ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มลังเลว่าระบบไหนคือคำตอบที่ดีที่สุดของ ธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของระบบ “หยอดเหรียญ” และ “ไร้เหรียญ” เพื่อหาคำตอบว่าระบบไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับการ ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ ในปี 2026 ที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเดินหน้าไปไกลกว่าเดิมมาก

วิเคราะห์ระบบ “หยอดเหรียญ” แบบดั้งเดิม

ระบบหยอดเหรียญคือรากฐานของธุรกิจซักผ้าแบบบริการตนเองที่อยู่คู่กับตลาดไทยมานานหลายสิบปี หลักการง่ายๆ คือ ลูกค้าหยอดเหรียญตามราคาที่กำหนดแล้วเครื่องจึงเริ่มทำงาน ซึ่งดูเหมือนเป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยต้นทุนแฝงที่เจ้าของร้านมือใหม่อาจไม่ทันนึกถึง

ข้อดีของระบบหยอดเหรียญ

สิ่งที่ทำให้ระบบนี้ยังคงได้รับความนิยม คือ “ความคุ้นเคย” ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องสอน ไม่ต้องโหลดแอป ไม่ต้องมีอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าวหรือผู้สูงอายุที่อาจไม่มีสมาร์ตโฟน นี่จึงเป็นระบบที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดและเปิดกว้างที่สุดในเชิงลูกค้า

ข้อเสียของระบบหยอดเหรียญ 

แต่ความเรียบง่ายนั้นมาพร้อมภาระซ่อนเร้นที่เจ้าของร้านต้องแบกรับ ทั้งการเดินเก็บเหรียญ นับเหรียญ แลกเหรียญ เติมเหรียญในตู้แลกเหรียญ และความเสี่ยงในการถูกโจรกรรม เพราะเงินสดคือของมีค่าในสายตาผู้ไม่หวังดี นอกจากนี้เครื่องแลกเหรียญเองก็มีราคาสูงและต้องบำรุงรักษาอยู่เสมอ หากตู้แลกเหรียญเสียในช่วงเวลาคนเยอะ ลูกค้าก็พร้อมจะหันไปใช้ร้านคู่แข่งทันที

เมื่อรวมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปใช้มือถือจ่ายเงินแทนเงินสด ระบบหยอดเหรียญจึงเริ่มกลายเป็น “ระบบที่อยู่รอดด้วยความคุ้นชิน” มากกว่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อนาคตของธุรกิจ
 

Image
ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ

 

Cashless System คลื่นลูกใหม่ ระบบ “ไร้เหรียญ”

ระบบไร้เหรียญคือคำตอบของสังคม Cashless Society ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าสามารถชำระเงินผ่าน QR Code, E-Wallet (TrueMoney, Rabbit LINE Pay, ShopeePay) หรือผ่านแอปของแฟรนไชส์ซักผ้าโดยตรง ทำให้ทุกขั้นตอนตั้งแต่การจ่ายเงินจนถึงแจ้งเตือนซักเสร็จเกิดขึ้นผ่านมือถือเครื่องเดียว

ข้อดีของระบบ Cashless

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ “ความสะดวก” สำหรับทั้งลูกค้าและเจ้าของร้าน เพราะไม่ต้องจัดการเงินสด ไม่ต้องนับเหรียญ ไม่ต้องกลัวเหรียญหาย รายรับทั้งหมดถูกบันทึกและโอนเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบยอดขายแบบเรียลไทม์ผ่านมือถือได้ทันที

อีกจุดแข็งคือภาพลักษณ์ของความทันสมัย ซึ่งช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น วัยทำงาน และคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสูง นอกจากนี้ระบบ App ยังเปิดโอกาสให้ทำการตลาดแบบใหม่ๆ เช่น โปรโมชั่น Happy Hour, ระบบสะสมแต้ม, หรือส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ—สิ่งที่ระบบหยอดเหรียญไม่สามารถทำได้เลย

ข้อเสียของระบบ Cashless

แม้จะสะดวกแต่ระบบนี้ก็มีต้นทุน เช่น ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม (GP) หรือค่าระบบรายปี อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตล่ม หรือระบบแอปขัดข้อง ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าไม่สามารถจ่ายเงินได้ชั่วคราว นอกจากนี้ยังอาจ “ปิดประตู” ลูกค้ากลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนหรือไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี

ดังนั้น ระบบไร้เหรียญแม้จะตอบโจทย์พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ แต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกทำเลหรือทุกกลุ่มลูกค้า
 

Image
ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ แบบไร้เงินสด

 

ทำไม Hybrid ถึงดีที่สุด?

สำหรับผู้ที่กำลังวางแผน ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ ทางเลือกที่สมดุลที่สุดในปี 2026 คือ “ระบบ Hybrid” ซึ่งหมายถึงเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าที่สามารถรองรับได้ทั้งการหยอดเหรียญและการจ่ายเงินผ่านแอปหรือ QR Code ในเครื่องเดียว

เหตุผลที่ระบบนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมัน “จับปลาสองมือ” ได้จริง ร้านไม่ต้องทิ้งลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และสามารถให้บริการได้ต่อเนื่องแม้ระบบใดระบบหนึ่งขัดข้อง เช่น ถ้าอินเทอร์เน็ตล่ม ลูกค้าก็ยังใช้เหรียญได้ หรือถ้าตู้แลกเหรียญเสีย ลูกค้าก็สามารถสแกนจ่ายผ่านมือถือได้ทันที

ในมุมของเจ้าของร้าน ระบบ Hybrid ยังเป็นการ “ลงทุนเพื่ออนาคต” เพราะแม้ตอนนี้ลูกค้าบางส่วนจะยังใช้เหรียญอยู่ แต่เมื่อพฤติกรรมเปลี่ยนไปเป็น Cashless มากขึ้น เจ้าของร้านก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด เพียงอัปเกรดฟังก์ชันในเครื่องเดิมเท่านั้น

อีกข้อดีคือการลดภาระการบริหารจัดการในระยะยาว เพราะเมื่อสัดส่วนลูกค้าที่ใช้ App เพิ่มขึ้น การเก็บเหรียญจะน้อยลงตามธรรมชาติ ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีข้อมูลมากขึ้นผ่านระบบหลังบ้านที่มาพร้อมเทคโนโลยี IoT

 

คำถามที่พบบ่อย

Q1: หากทำเลอยู่ใกล้หอพักแรงงานต่างด้าว ควรใช้ระบบไหนดี?

A1: ควรใช้ระบบ Hybrid เพราะลูกค้าบางส่วนอาจไม่มีแอปธนาคาร การรองรับเหรียญยังจำเป็นเพื่อไม่ปิดโอกาสรายได้

Q2: ระบบ Cashless มีค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมเท่าไร?

A2: ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ โดยทั่วไปอยู่ที่ 1–2% ต่อธุรกรรม แต่ข้อดีคือความสะดวกในการจัดการและความปลอดภัยสูงกว่าระบบเหรียญ

Q3: ถ้าเริ่มต้นด้วยระบบเหรียญ สามารถอัปเกรดเป็น Cashless ได้หรือไม่?

A3: ได้ หากเลือกเครื่องรุ่นใหม่ที่รองรับ IoT และมีช่องต่อระบบ App สามารถเพิ่มโมดูลจ่ายเงินแบบ Cashless ได้ภายหลังโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องทั้งหมด

 

สรุป

ไม่ว่าจะเป็นระบบหยอดเหรียญหรือ Cashless ต่างก็มีข้อดีในแบบของตัวเอง แต่การเลือกระบบใดระบบหนึ่งแบบสุดโต่งอาจทำให้ธุรกิจเสียลูกค้าไปในระยะยาว ระบบ Hybrid จึงเป็น “คำตอบกลาง” ที่ให้ทั้งความยืดหยุ่น ความสะดวก และศักยภาพในการเติบโต

ธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ที่ประสบความสำเร็จในปี 2026 จะไม่ใช่ธุรกิจที่แค่มีเครื่องซักผ้าดี แต่ต้องเป็นร้านที่ “สะดวกที่สุด” สำหรับลูกค้าทุกคน ทั้งกลุ่มที่ใช้เหรียญและกลุ่มที่ชอบสแกนจ่ายผ่านมือถือ

ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผน ลงทุนร้านซักผ้าหยอดเหรียญ วันนี้ การเลือกลงทุนในเครื่องที่รองรับระบบ Hybrid (ผสม) คือกลยุทธ์ที่ฉลาดที่สุด คุ้มค่าที่สุด และยั่งยืนที่สุดในระยะยาว

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เราคือ มารุ สะดวกซัก ร้านซักผ้าหยอดเหรียญสไตล์ญี่ปุ่นในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำเข้าเครื่อง Tosei จากประเทศญี่ปุ่นดำเนินการภายใต้บริษัท กันยง ลอนดรี้ จำกัด เรามีทีมงานที่มีคุณภาพช่วยวิเคราะห์ให้คำปรึกษาและทีมงานออกแบบ ตกแต่งร้านที่เป็นมืออาชีพ

 

อีกหนึ่งทางเลือกดีที่สุดในการลงทุนร้านสะดวกซัก พร้อมสร้างรายได้และเติบโตได้อย่างมั่นคง สนใจสมัครแฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ติดต่อ 02-118-2959 หรือที่เว็บไซต์ Maru Laundry